วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คน 8 เจเนอเรชั่น คุณอยู่ในกลุ่มไหน?

1. Lost Generation 

          ประชากรยุคแรกที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2426-2443 หรือในช่วงทศวรรษที่ 80 ปัจจุบันคนกลุ่มนี้เสียชีวิตไปหมดแล้ว จึงถูกตั้งชื่อว่า "Lost Generation" เหตุการณ์ที่สำคัญที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนยุคนี้ก็คือ การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 

  2. Greatest Generation

          Greatest Generation หรือที่รู้จักกันว่า G.I. Generation คนกลุ่มนี้เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2444-2467 คือยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาจึงกลายมาเป็นกำลังหลักของการต่อสู้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามสงบ เกิดสภาพเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก คนรุ่นนี้จึงเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจให้กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง 

          ผู้คนในยุคนั้นจะมีความเป็นทางการสูง ผู้ชายจะใส่สูทผูกเนคไทเมื่อออกจากบ้าน คนในสังคมจะมีแบบแผนปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน คือ มีความคิด ความเห็น ความเชื่อเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เชื่อมั่นรัฐบาล อำนาจรัฐ มีจิตสำนึกความเป็นพลเมืองร่วมกัน



  3. Silent Generation

          หมายถึงคนที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2468-2488 ประชากรรุ่นนี้จะมีไม่มากเท่ารุ่นอื่น ๆ เพราะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี และหลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ดังนั้น ผู้คนจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ต้องทำงานหนักในโรงงาน หามรุ่งหามค่ำ คนรุ่นนี้จึงมีความเคร่งครัดต่อระเบียบแบบแผนมาก มีความจงรักภักดีต่อนายจ้าง และประเทศชาติสูง เคารพกฎหมาย เป็นยุคที่ผู้หญิงเริ่มออกมาทำงานนอกบ้านกันมากขึ้น กระทั่งเวลาผ่านไป เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว คนในรุ่นนี้จึงได้รับโอกาสมากขึ้น มีช่องทางการสร้างกิจการของตัวเอง รวมทั้งมีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นรากฐานจนถึงปัจจุบันนี้ 


  4. เบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer) 

          เบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer) หรือ Gen-B หมายถึงคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2489 – 2507 หรือในยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 สาเหตุ ที่เรียกว่า "เบบี้บูมเมอร์" ก็เพราะว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง บ้านเมืองที่ผ่านการสู้รบได้รับความเสียหายอย่างหนัก ประชากรที่เหลืออยู่ในแต่ละประเทศจึงต้องเร่งฟื้นฟูประเทศให้กลับมาแข็ง แกร่งมั่นคงอีกครั้ง แต่ทว่า...สงครามที่ผ่านพ้นไปก็ได้คร่ากำลังพล และแรงงานไปเป็นจำนวนมาก ประเทศเหล่านี้จึงขาดแรงงานในการขับเคลื่อน ประเทศ คนในยุคนั้นจึงมีค่านิยมที่จะต้องมีลูกหลาย ๆ คน เพื่อสร้างแรงงานขึ้นมาพัฒนาประเทศชาติ จึงเป็นที่มาของคำว่า "เบบี้บูมเมอร์" นั่นเอง

          ปัจจุบันนี้ คนยุคเบบี้บูมเมอร์คือคนที่มีอายุตั้งแต่ 49 ปีขึ้นไป และเริ่มเข้าสู่วัยชราแล้ว คนกลุ่มนี้จึงเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา มีความอดทนสูง ทุ่มเทให้กับการทำงานและองค์กรมาก สู้งาน พยายามคิดและทำอะไรด้วยตัวเอง เป็นเจ้าคนนายคน ถูกครอบครัวสั่งสอนมาให้เป็นคนประหยัด อดออม จึงมีการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และระมัดระวัง คน ในยุคอื่น ๆ อาจจะมองคนยุคเบบี้บูมเมอร์ว่าเป็นพวก "อนุรักษนิยม" เป็นคนที่เคร่งครัดในขนบธรรมเนียมประเพณี แต่คนกลุ่มนี้ถือว่าน่าจะมีจำนวนมากที่สุดในสังคมปัจจุบันเลยทีเดียว

          เหตุการณ์สำคัญที่คนในรุ่นนี้เคยประสบ หรือเคยได้ยินก็คือ ข่าวความสำเร็จของการส่งนักบินอวกาศไปเหยียบดวงจันทร์ ข่าวการทำสงครามเวียดนาม เป็นต้น


  5. เจเนอเรชั่น เอ็กซ์ (Generation X)

          หลัง จากยุคเบบี้บูมเมอร์ส่งผลให้เด็กเกิดมากขึ้น ปัญหาที่ตามมาก็คือ ทรัพยากรที่มีอยู่ในโลกนี้ไม่เพียงพอที่จะจัดสรรให้ได้ทุกคน เมื่อเป็นเช่นนี้ ประชาชนจึงกลับมานั่งคิดว่า หากไม่ควบคุมอัตราการเกิดไว้ สุดท้ายแล้วคนทั้งโลกก็จะขาดแคลนอาหาร ดังนั้น จึงเกิดเป็นยุค "เจเนอเร ชั่น เอ็กซ์" (Generation X) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "Gen-X" ที่เป็นกระแสตีกลับจากยุคเบบี้บูมเมอร์ มีการควบคุมอัตราการเกิดของประชากร อย่างเช่นในประเทศจีนก็มีการรณรงค์ให้คนมีลูกได้เพียง 1 คนเท่านั้น 

          คนยุคนี้จะเกิดอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2508-2522 อาจเรียกอีกชื่อว่า "ยับปี้" (Yuppie) ที่ย่อมาจาก Young Urban Professionals เพราะ เกิดมาพร้อมในยุคที่โลกมั่งคั่งแล้ว จึงใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เติบโตมากับการพัฒนาของวิดีโอเกม, คอมพิวเตอร์, สไตล์เพลงแบบฮิปฮอป และอาจทันดูทีวีจอขาวดำด้วย

          ปัจจุบัน คนยุค Gen-X เป็นคนวัยทำงาน มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปแล้ว พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ที่เด่นชัดมากก็คือ ชอบอะไรง่าย ๆ ไม่ต้องเป็นทางการ ให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว (Work–life balance)  มีแนวคิดและการทำงานในลักษณะรู้ทุกอย่างทำทุกอย่างได้เพียงลำพังไม่พึ่งพาใคร เป็นตัวของตัวเองสูง มีความคิดเปิดกว้าง มีความคิดสร้างสรรค์ 

          อย่างไรก็ตาม หลายคนใน Gen-X มีแนวโน้มที่จะต่อต้านสังคม ไม่ได้เชื่อเรื่องศาสนา และ ไม่ได้ยึดขนบธรรมเนียมประเพณีมากนัก เป็นคนที่มีความยืดหยุ่นในการปรับตัวกับวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป อย่างเช่นมองว่าการอยู่ก่อนแต่ง หรือการหย่าร้างก็เป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับเรื่องเพศที่ 3 ซึ่งต่างจากกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ที่มองเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องผิดจารีตประเพณี เป็นอย่างยิ่ง 

  6. เจเนอเรชั่น วาย (Generation Y)

          ถัดจากยุค Gen-X ก็คือ ยุคเจเนอเรชั่นวาย (Generation Y) หรือ ยุค Millennials ซึ่งก็คือคนที่เกิดอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2523–2540 คนกลุ่มนี้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง และค่านิยมที่แตกต่างระหว่างรุ่นปู่ย่าตายาย กับ รุ่นพ่อแม่ แต่ก็รับเอาความเจริญรุดหน้าของเทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ตเข้ามาแทรกอยู่ในการดำรงชีวิตประจำวันด้วย 

          ยุคนี้จะเป็นยุคที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตเป็นอย่างมาก ทำให้พ่อแม่ที่ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วจะดูแลเอาใจใส่ลูก ๆ เป็นอย่างดี เด็กยุคนี้จึงมักจะถูกตามใจตั้งแต่เด็ก ได้ในสิ่งที่คนรุ่นพ่อแม่ไม่ค่อยได้ มีการศึกษาดี มีลักษณะนิสัยชอบการแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบถูกบังคับให้อยู่กรอบ ไม่ชอบอยู่ในเงื่อนไข ชอบเสพข่าวสารผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่หลากหลาย มีอิสระในความคิด กล้าซัก กล้าถามในทุกเรื่องที่ตัวเองสนใจ ไม่หวั่นกับคำวิจารณ์ มีความเป็นสากลมาก มองว่าการนิยมชมชอบวัฒนธรรม หรือศิลปินต่างชาติเป็นเรื่องธรรมดา 

          ปัจจุบัน คนกลุ่มนี้อยู่ในทั้งช่วงวัยเรียน และวัยทำงาน และจากการที่ยุคนี้เป็นยุคที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่น่าแปลกใจที่คนกลุ่มนี้จะมีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการ ติดต่อสื่อสาร ชอบงานด้านไอที ใช้ความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ รวมทั้งสามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่าสามารถใช้เครื่องมือเครื่องไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว อย่างที่เราอาจจะเคยเห็นภาพคนยุคใหม่ที่นั่งเล่น iPad ไปด้วย คุยโทรศัพท์ไปด้วย แถมบางคนยังกินข้าวไปพร้อม ๆ กันด้วยอีกต่างหาก 

          ในเรื่องการทำงาน คนกลุ่มนี้ต้องการความชัดเจนในการทำงานว่าสิ่งที่ทำมีผลต่อตนเองและต่อหน่วย งานอย่างไร และชอบทำงานเป็นทีม ต่างจากกลุ่ม Gen-X ที่ชอบวันแมนโชว์มากกว่า เพราะคนในวัย Gen-X จะถูกฝึกมาแบบนั้น ต่างจากวัย Gen-Y ที่เติบโตมาพร้อมกับการประชุม การระดมความคิดเห็น แต่ทว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยอดทนเหมือนรุ่นพ่อรุ่นแม่นัก หวังที่จะทำงานได้เงินเดือนสูง ๆ แต่ไม่อยากไต่เต้าจากการทำงานข้างล่างขึ้นไป คาดหวังในการทำงานสูง ต้องการคำชม กลุ่ม Gen-Y มักจะจัดสรรเวลาให้งานและชีวิตส่วนตัวในจุดที่สมดุลกัน พอหลังเลิกงานอาจไปทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเอง เช่น ไปเล่นฟิตเนส ไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง จะไม่ค่อยหมกมุ่นอยู่กับงานเหมือนกับคนรุ่นก่อน

          นอกจากนี้ กลุ่ม Gen-Y จะเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีใจช่วยเหลือสังคม รักษาสิ่งแวดล้อม มีความสัมพันธ์ที่ดีและแน่นแฟ้นกับพ่อแม่


  7. เจเนอเรชั่น ซี (Generation Z)

          Gen-Z คือ คำนิยามล่าสุดของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน หมายถึงคนที่เกิดหลัง พ.ศ. 2540 ขึ้นไป เทียบ อายุแล้วก็คือวัยของเด็ก ๆ นั่นเอง เด็ก ๆ กลุ่ม Gen-Z นี้ จะเติบโตมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่อยู่แวดล้อม มีความสามารถในการใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ และเรียนรู้ได้เร็ว เพราะพ่อแม่ใช้สิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กรุ่น Gen-Z แตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ สมัยที่ยังเป็นเด็กอยู่ก็คือ เด็กรุ่นนี้จะ ได้เห็นภาพที่พ่อและแม่ต้องออกไปทำงานทั้งคู่ ต่างจากรุ่นก่อน ๆ ที่อาจจะมีพ่อออกไปทำงานคนเดียว ด้วยเหตุผลนี้ เด็ก Gen-Z หลาย ๆ คนจึงได้รับการเลี้ยงดูจากคนอื่นมากกว่าพ่อแม่ของตัวเอง
  

          และนอกจาก 7 เจเนอเรชั่นที่บอกไปแล้ว ปัจจุบันนี้ยังมีคำนิยามเพิ่มขึ้นมาอีก 1 กลุ่ม แต่ไม่ได้จัดอยู่ร่วมกับ 7 เจเนอเรชั่นข้างต้น คือ กลุ่ม "Gen-C" เป็นคำใหม่ที่ Google และ Nielsen บัญญัติ ใช้สำหรับเรียกกลุ่มคนยุคใหม่ที่ไม่ได้แบ่งตามอายุเหมือน 7 เจเนอเรชั่นข้างบน แต่จัดกลุ่มตามพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต และโซเชียลเน็ตเวิร์ก

          ทั้งนี้ คนที่จะถูกจัดเข้ากลุ่ม Gen-C นั้น ก็คือคนกลุ่ม Baby Boommer และ Gen-X ที่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง หันมาสนใจเทคโนโลยีมากขึ้น ไปจนถึงขั้นเสพติดการเชื่อมต่อ แต่ไม่รวมคนกลุ่ม Gen-Y เป็นพวก Gen-C ด้วย นั่นเพราะคนกลุ่ม Gen-Y ปกติก็จะมีการเชื่อมต่อโลกไร้สายเป็นประจำอยู่แล้ว ต่างกับคนกลุ่ม Baby Boommer และ Gen-X ที่ในอดีตแทบไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย แต่เมื่อเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีมากขึ้น พฤติกรรมของคนเหล่านี้จึงต้องเปลี่ยนไปตามโลก
          สำหรับคน Gen-C นั้น จะมีนิสัยที่เห็นเด่นชัดมาก ๆ คือ จะมีการเชื่อมต่อตลอดเวลา มีการอัพเดทข้อมูล สนใจข่าวสารที่ได้รับรู้มาในโลกไซเบอร์ พร้อมจะแชร์ต่อทุกเมื่อ ติดตามดูคลิปในยูทูบมากกว่านั่งดูโทรทัศน์ เหมือนกับสังคมออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของตัวเองไปแล้ว และคนกลุ่มนี้ก็ยังกลายมาเป็นผู้ขับเคลื่อนวัฒนธรรมใหม่ ๆ ด้วย

          อย่างไรก็ตาม คนกลุ่ม Gen-C นี้ แม้จะชอบโพสต์ข้อความมากมาย แต่ก็จะโพสต์ด้วยความระมัดระวังกว่าคน Gen-Y ที่อาจจะโพสต์ตามอารมณ์มากกว่า ต่างกับคน Gen-C ที่จะโพสต์เพื่อแบ่งปันความรู้ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร ฯลฯ

          ถ้าเราลองเหลียวมองไปรอบ ๆ ตัว เราก็จะได้พบกับคนรุ่นต่าง ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันก็คือ Baby Boomer, Gen-X, Gen-Y และ Gen-Z ซึ่งนักการตลาด นักธุรกิจ ผู้บริหารองค์กรต่าง ๆ จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากทีเดียว เพราะจะช่วยทำให้พวกเขาได้เรียนรู้และเข้าใจบุคคลในวัยต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ส่วนตัวเราเอง การได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยลดช่องว่างระหว่างวัยในครอบครัว และลดช่องว่างในสังคมการทำงานได้ดีเลยล่ะ

ผู้หญิงกับบุหรี่ (ความงามกับควันพิษ)

บุหรี่ทำลายความงามจริงหรือ?

        สารพิษจากการสูบบุหรี่นอกจากจะสะสมเพื่อรอการแสดงอาการของโรคร้ายต่างๆ แล้ว ผลเสียของการสูบบุหรี่ที่มีผลต่อความสวยงามก็มีมากไม่แพ้กัน ซึ่งพบว่า ใบหน้าของผู้ที่สูบบุหรี่มานานจะมีริ้วรอยลึกที่สังเกตเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะรอยตีนกาที่หางตา รอยเหี่ยวย่นที่มุมปาก รวมถึงเส้นลึกที่โหนกแก้มอีกด้วย เพราะผู้ที่สูบบุหรี่มักจะต้องหรี่ตาเวลาพ่นควันออกมา เพื่อป้องกันไม่ให้ควันบุหรี่เข้าตา นานเข้าจึงทำให้เกิดตีนกาขึ้นได้
รวมถึงริมฝีปากของผู้สูบบุหรี่ จะมีสีคล้ำกว่าปกติ เพราะสารนิโคตินในบุหรี่ จะทำให้หลอดเลือดฝอยทั่วร่างกายของเรานั้นหดตัว ส่งผลให้เลือดที่ไปเลี้ยงผิวหนังรวมทั้งริมฝีปากน้อยลง ผลก็คือริมฝีปากจะคล้ำและผิวหนังแห้งกร้านกว่าคนทั่วไป

หญิงไทยสูบบุหรี่น้อย แต่

        บุหรี่มีพิษภัยต่อผู้สูบและคนรอบข้างอย่างไรนั้น เกือบทุกคนในสังคมรู้กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่คุณจะทราบกันไหมว่า อัตราการสูบบุหรี่ในวัยรุ่นหญิงมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทผู้ผลิตบุหรี่ ที่พยามยามขยายตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเพศหญิง หลังผลการสำรวจ พบว่า เพศหญิงมีอัตราการสูบที่ต่ำ บริษัทผู้ผลิตบุหรี่จึงคิดหากลยุทธ์ในการผลิตบุหรี่สำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ เพื่อเป็นการสร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ ให้หันมาสูบบุหรี่ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มยอดขายให้กับบริษัท และเมื่อบวกกับแนวโน้มการสูบบุหรี่ในหมู่วัยรุ่นไทยที่กำลังเพิ่มขึ้นนั้น ก็เป็นไปได้ว่า หากไม่มีการรณรงค์ลด ละ เลิก การสูบบุหรี่อย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ เป็นที่แน่ชัดว่าจำนวนหญิงไทยที่สูบบุหรี่จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ผู้หญิงสูบบุหรี่น่าเป็นห่วงกว่าผู้ชายเสียอีก

        ผู้หญิงที่สูบบุหรี่ นอกจากจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้เช่นเดียวกับผู้ชายแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นอีก เพราะบุหรี่มีผลทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง
ผลข้างเคียงที่ตามมาอีกสิ่งหนึ่งคือ (ไม่ตามผู้ชายนะ) ผู้หญิงที่สูบบุหรี่เป็นประจำนั้นจะมีรอบเดือนมาไม่ปกติ มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ยากกว่าผู้หญิงทั่วไปถึง 3 เท่า ถึงวัยหมดประจำเดือน(วัยทอง)เร็วกว่าปกติถึง 2 ปี และยังส่งผลให้กระดูกผุหรือเปราะเร็วขึ้นอีกด้วย

       นอกจากนี้ สิ่งที่ผู้หญิงหลายคนสงสัยว่าการสูบบุหรี่นั้นส่งผลต่อการกินยาคุมกำเนิดหรือไม่ ขอตอบให้เข้าใจตรงกันว่า หญิงผู้นั้นจะมีโอกาสเกิดอาการหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลันหรือหัวใจวายสูงขึ้นถึง 39 เท่า และมีอัตราการตายมากกว่าผู้ไม่สูบบุหรี่ที่กินยาคุมกำเนิดถึง 3 เท่าตัว เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้ร่างการได้รับสารพิษเข้าไปซึ่งส่งผลโดยตรงกับยาคุมกำเนิด จะทำให้เลือดแข็งตัวได้ง่าย และเกิดการอุดตันของหลอดเลือดได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ทำให้เลือดไม่พอสำหรับไปเลี้ยงสมองและหัวใจ
คงได้ทราบกันแล้วว่า บุหรี่ มีสารพิษที่ก่อให้เกิดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆตามมา ทั้งยังส่งผลต่อสุขภาพ ความสวยงามที่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้หญิงอย่างเราๆ การสูบบุหรี่ไม่ได้ช่วยให้ดูน่าชื่นชมเลยในสังคม หากแต่ผู้หญิงมีความสวยงามมาจากภายใน ทั้งสุขภาพดี และไม่นิยมเสพสิ่งเสพติด ก็จะดูสวยงามตามแบบหญิงไทย อย่าปล่อยให้โฆษณาชวนเชื่อ หรือ ความนิยมผิดๆของคนรอบข้างมาทำร้ายตัวเรา ตัวเราเองเลือกสิ่งดีๆให้ตัวเองได้

รู้อย่างนี้แล้ว…สิงห์อมควันทั้งหลายจะเลือกทำร้ายตัวเองด้วยควันบุหรี่ต่อไป หรือจะตั้งใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการไม่สูบ
บุหรี่เพื่อชีวิตคุณและคนที่คุณรัก…

สังคมไทย คาดหวังอะไรจากวัยรุ่นปัจจุบัน

ทุกครั้งที่ผู้เขียนได้เห็นภาพของเด็กวัยรุ่นผู้หญิง แต่งตัววาบหวิวเซ็กซี่ แต่งหน้าแต่งตายั่วยวนกิเลสต่อเพศตรงข้าม  บางทีก็นั่งจู๋จี๋คลอเคลียในที่สาธารณะ
หรือเด็กวัยรุ่นผู้ชายแต่งตัวเหมือนจิกโก ขับขี่มอเตอร์ไซด์อย่างรวดเร็วเร่งรีบ ไร้สติกำกับตัวเอง และ ไม่เคยคิดเสียดายชีวิตตัวเอง  และอย่างไร้ความประมาทปัจจุบัน
สิ่งต่าง ๆ ที่เด็ก ๆ วัยรุ่นกำลังทำ ทำให้ผู้ใหญ่อย่างเราต้องกลับมาคิดทบทวนถึงสิ่งที่เรากำลังปลูกฝังให้กับเด็กในสังคมไทยกันเสียใหม่แล้ว
ตัวอย่างพฤติกรรมเหล่านี้ ถ้าเราได้นึกย้อนไปถึงองค์ประกอบทางสังคมไทยเรา เราได้สัมผัสกับสังคมหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีแต่ไร่นา หาสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ แล้วตัวอย่างของการแต่งตัวเซ็กซี่  แต่งหน้าแต่งตาทำตัวรวยเพื่อจะให้ผู้หญิงมาติดพันและหวังฟันผู้หญิง  คงจะหาได้ยากมากในสังคมไทย จึงมีคำถามว่า พวกเด็กวัยรุ่นได้ซึมซับเรียนรู้วัฒธรรมเหล่านี้มาจากไหน จึงยอมเอามาเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตปัจจุบันแบบไร้ความอาย
ท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะมีความคิดว่า เป็นเพียงแค่ความคิดและการกระทำในช่วงวัยรุ่นเท่านั้น
แต่ถ้าเรามองย้อนความคิดให้ลึกลงไป พวกเราในฐานะผู้ใหญ่คงจะคิดให้มาก ๆ และคิดให้ลึก ๆ ว่า ถ้าทัศนคติเหล่านี้ฝังอยู่ในจิตใจของเด็กวัยรุ่นแล้ว จะเป็นสิ่งที่ติดตัวกลายเป็นเป็นนิสัยและการกระทำจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่
เด็กถ้าเรามองแล้วเหมือนกับผ้าขาวที่รอสีแต้ม  เปื้อนหรือแจ่มก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่
เราในฐานะผู้ใหญ่ อยากจะให้เขาเป็นผู้มองโลกในแง่ที่ดีและเติบโตท่ามกลางสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ดีงาม ไม่อยากให้สิ่งที่เห็นคือสังคมกำลังปลูกฝังความคิดที่สกปรกทำให้เด็กได้แปดเปื้อนไปด้วยสิ่งยั่วยุทางกามารมณ์ กระตุ้นให้เกิดราคะตัณหาตั้งแต่อายุน้อย ๆ  เพราะ
เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า  ทำทีท่าละม้ายคลายแม่พ่อ
ผ้าผู้ใหญ่ดี เด็กก็ดีตามเหล่ากอ  ถ้าผู้ใหญ่บ้าเด็กก็บอพอ ๆ กัน
มื่อมองย้อนดูสาเหตุแล้ว เกิดจากผู้ใหญ่ในสังคมที่ชื่นชมกับกระแสแห่งการบริโภคที่ไหล่บ่าจากวัฒนธรรมตะวันตกโดยรับเอาเทคโนโลยีในยุคสมัยใหม่โดยไม่ได้ไต่ตรองและปรับใช้ให้เหมาะสมกับภูมิปัญญาและวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย
สิ่งที่เห็นปรากฏอยู่เป็นประจำทุกวันคือ  เปิดทีวีก็มีแต่ละครน้ำเน่า เกมโชว์บางเกมก็ไร้สาระมุ่งให้เด็กเป็นคนที่อยากได้เห็นแก่ตัวมากขึ้น และแถมโฆษณาที่มุ่งแต่หลอกขายของแก่เด็กอย่างไร้จริยธรรม
ด้านรายการวิทยุ คิดอยากจะฟังเพลงเปิดวิทยุก็มีแต่เพลงที่มีเนื้อหาชวนฝันเฟื่อง มีแต่ความลุ่มหลงไขว่คว้าหาความรัก ฟังผู้ดำเนินรายการก็มีแต่ชวนซื้อนั้นซื้อนี่ โดยเฉพาะมือถือรุ่นไหนอินเทรนด์ของยี่ห้อไหนกำลังดัง ยั่วยวนกิเลสให้เด็กวัยรุ่นเกิดความอยาก ที่จะต้องมีให้เหมือนคนอื่นให้ได้
ดูด้านอินเตอร์เนตก็ไม่วายแทนที่จะได้รับข่าวสารที่ทันสมัยกลับแฝงไปด้วยเวปไซด์ที่สื่อทางลามกอนาจาร ที่วันที่คืนดีโผล่มาให้เห็นโดยไม่ได้รับเชิญ
ทุกวันนี้เทคโนโลยีได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตคนในสังคมไทยมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะอยู่ทีไหน สามารถเข้าได้ทุกที่ ทุกเวลา แต่ที่ต้องตระหนักและเอาใจใส่มากที่สุดคือเรื่องของจริยธรรม เพราะคนในสังคมปัจจุบันคือมองเป็นสิ่งที่ไร้ค่า และแทบจะลืมสิ่งเหล่านี้ไปหมดแล้ว
สังคมไทยกลายเป็นสังคมยุคใหม่ ที่เจริญไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย  ยิ่งความเจริญทางด้านเทคโนโลยีทันสมัยเท่าใด จริยธรรมและคุณธรรมที่ดีงามซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสังคมไทยก็เริ่มเลือนรางจางหายไป  คุณธรรมที่พึงจะมีแก่คนในสังคมก็เริ่มตกต่ำลงไปทุก ๆวัน กลายเป็นพลวัตที่ทำให้เกิดความสับสนในชีวิตมนุษย์อันเกิดจากการพัฒนาที่รวดเร็ว  ผู้เขียนเอง  ไม่ได้มีความคิดต่อต้านความเจริญเหล่านี้แต่อย่างใด  แต่การเจริญทางเทคโนโลยีและการนำมาบริโภคโดยเฉพาะกับเด็กวัยรุ่นเยาวชน  เราในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ควรที่จะใส่ใจและตระหนักให้มากและควรมีจิตสำนึกที่จะไม่นำสื่อที่ชักจูง มอมเมาปลูกฝังค่านิยมที่ผิด จนเด็กเยาวชนจะมีนิสัยฟุ่มเฟือย และมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาสมและผลสุดท้ายสังคมก็จะกลายเป็นสังคมที่ไร้คุณธรรมและจริยธรรม
อยากจะให้ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ผลิตสื่อที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ควรกำหนดมาตรการควบคุมอย่างเคร่งครัด มีขอบเขต และยึดมั่นในจริยธรรมในอาชีพ และควรที่จะตระหนักอยู่เสมอว่า เด็กได้รับอะไรไปจากเราบ้าง  อย่างน้อยที่สุดเด็กได้รับรู้หรือเรียนรู้ตัวอย่างจากเราแล้วกลับกลายเป็นการสร้างจุดดำขาวให้สร้างปัญหาในชีวิตให้กับเด็กในระยะยาว ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะสถาบันครอบครัวในปัจจุบัน ที่พ่อแม่มักจะให้อิสระในด้านความคิดกับเด็ก ๆ มักปล่อยให้เด็ก ๆ เติบโตมาในสังคมที่อาศัยสิ่งไม่มีชีวิตและยึดติดกับวัตถุภายนอกร่างกายเกินไป  เด็ก ๆ เคยชินกับความสะดวกสบายกับการสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือ แซทผ่านทางอินเตอร์เนต ปล่อยให้ภาพยนตร์ต่างประเทศ  ดีเจทางวิทยุ ละครน้ำเน่า เกมโชว์ทางโทรทัศน์  รวมทั้งเวปโป๊ที่แฝงมาในรูปอินเตอร์เนตมามีบทบาทสำคัญในชีวิต กล่อมเกลาชีวิตเด็กเยาวชนให้ลุ่มหลงไปกับกระแสนิยม ซึ่งจะเป็นการบ่อนทำลายศีลธรรมที่ดีงามของสังคมไทยไปจนหมดสิ้น
ผู้เขียนอยากจะเห็นสถาบันครอบครัวที่มีคุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่ ได้ใส่ใจให้เด็กเยาวชนมีนิสัยแห่งการเรียนรู้ที่ถูกต้อง  โดยเด็กใฝ่ใจศึกษา มีจรรยามารยาทที่งดงาม ไม่วู่วามตามกระแสสังคมโลกเกินไป และอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยไม่ไหล่ไปตามกระแสแห่งตะวันตก  และอยากเห็นสังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้  เยาวชนมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ เพราะจะได้เป็นกำลังในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป

ที่มา: http://mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=518&articlegroup_id=121

8 เทรนด์ค่านิยมผู้บริโภค 58

8TREND2015---CONTENT

 1.รวยลัด หรือ Richficiency (Rich+Sufficiency)

ผู้บริโภคGen Y ไม่ได้เกิดมาในยุคที่ต้องรอคอยไม่เหมือนคนรุ่นก่อนที่มีความอดทนสูง จึงมีนิสัยขี้ใจร้อน ขี้หงุดหงิดรอทนอะไรนานๆ ไม่ได้ เพราะเทคโนโลยีสามารถทำทุกอย่างได้ตลอด 24 ชั่วโมง จึงมีค่านิยมไม่ยอมอดทนกับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ หรือรู้สึกไม่ใช่ เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และต้องการรวยด้วยตัวเอง หรือรวยทางลัด แบบไม่ต้องทำงาน มีความต้องการทำงานในออฟฟิศน้อยลง ความอดทนและเอาจริงเอาจังก็น้อยลงเช่นกัน
ด้วยพฤติกรรมเหล่านี้ พวกเขาจึงนิยมรวยทางลัดด้วยการเล่นหุ้นเป็นหลัก โดยผลสำรวจพบว่านักลงทุนรุ่นใหม่ มีอายุเริ่มต้นเฉลี่ยน้อยลงอยู่ที่ 20 ปี จากในยุคเบบี้บูมเมอร์ที่มีอายุเริ่มต้นเฉลี่ย 27ปี ซึ่งพฤติกรรมนี้สอดคล้องกับหนังสือขายดี 2 หมวดใหญ่ในร้านหนังสือส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือเคล็ดลับที่ทำให้รวย และหนังสือแนวแรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จ
ด้วยความต้องการรวยแบบกินอยู่สบาย ใช้เงินปรนเปรอ ตัวเองได้สบายแบบไม่ต้องทำงานหนัก ไม่เครียด จึงทำให้อัตราคนทำงานที่บ้านเพิ่มขึ้น และเป็นนายตัวเองมากขึ้น จะพบว่าในงาน Money Expo ที่ผ่านมา มีผู้เยี่ยมชมงานเพื่อศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นมากกว่าปีที่ผ่านมาๆ และการเติบโตของเว็บไซต์ บล็อกเกี่ยวกับการลงทุน และยังมีแบบอย่างประสบความสำเร็จของเน็ตไอดอลที่เป็นนักลงทุนรุ่นเยาว์ให้เห็นเป็นจำนวนมาก

2.งามภายนอก หรือ Exthetic (External+ Aesthetic)

คำว่าสวยจากภายในไม่มีมนต์ขลังอีกต่อไปในยุคนี้ เพราะค่านิยมของผู้บริโภคยุค 2558 ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของความงามภายใน แต่นิยมเรื่องความงามภายนอกที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นมากกว่า เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในสังคม มีผลต่อบทบาทในหน้าที่การงาน และความสำเร็จ
จะเห็นได้ว่าเทรนด์นี้ยังผลักดันให้สถานบันความงามเติบโตอย่างก้าวกระโดด ความนิยมถ่ายภาพเซลฟี่ด้วยตัวเอง และตกแต่งแอพพลิเคชั่นเสริมแต่งรูปภาพ โดย 58% ของผู้ถูกสำรวจนิยมแต่งรูปให้ดูดีเกินจริงก่อนโพสต์ทุกครั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองยิ่งเป็นการปลูกฝังให้ผู้บริโภคเห็นความงามจากภายนอกมากขึ้น แทนที่จะมาพัฒนาความรู้ความสามารถ พัฒนาความงามจากภายในเหมือนที่ผ่านมาก

3.ช่วยเหลือตัวเอง (ไม่พึ่งพา) หรือ YELP (Help Yourself)

ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่นแอพพลิเคชั่นค้นหาเส้นทาง ไม้ถ่ายรูปเซลฟี่ 3D Printing เทคโนโลยีที่ให้พรินต์สิ่งของที่ต้องการได้ด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า โดยไม่ต้องไปร้านค้า และการที่อยู่กับโซเชียลเน็ตเวิร์คมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในโลกแห่งความจริงน้อยลง และเกิดพฤติกรรมแปลกแยกจากสังคมโดยไม่รู้ตัว
ด้วยการที่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง มีปฏิสัมพันธ์กับคนที่น้อยลงทำให้เด็กรุ่นใหม่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มั่นใจว่าจะช่วยตัวเองได้ จึงมีความแข็งกระด้างในตัวเอง จากในอดีตที่ต้องปรึกษาพ่อแม่ เป็นการปรึกษา ค้นหาข้อมูลใน Google แทน
เมื่ออยู่กับเทคโนโลยีมากขึ้น มีปฏิสัมพันธ์กับคนน้อยลง จึงเกิดค่านิยมแคร์ความรู้สึกกันน้อยลง ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง เอาความต้องการตัวเองเป็นใหญ่ ติดนิสัยชอบเขียนแสดงออกทางโซเชียล เพราะในทางจิตวิทยาแล้วคนจะแสดงออกมีความกล้าน้อยเมื่อต้องเผชิญหน้า จึงเห็นการแสดงออกทางความคิด การประท้วงทางโลกออนไลน์มากขึ้น

4.ไม่ผูกมัด หรือ Nobliglation (No+Obliglation)

สังคมก้มหน้า เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่า “อย่ามายุ่งกับฉัน หรือ ฉันไม่อยากคุยกับใคร ขออยู่คนเดียว” แต่ในทางกลับกันคนกลับอยู่กับในสังคมออนไลน์ พูดคุย รับเพื่อนใหม่อย่างง่ายดาย เพราะมองว่าไม่ต้องผูกมัดทางกายภาพ หรือรับผิดชอบใดๆ ในการคบหาทางออนไลน์
จะเห็นได้ว่าเมื่อผู้บริโภคติดนิสัยการแสดงออกอย่างอิสระเสรีบนโลกออนไลน์ จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะรักอิสระมากขึ้น ไม่ชอบถูกบังคับ จนเกิดอัตราการหย่าร้าง การแยกกันอยู่มากขึ้น รวมถึงการแยกตัวออกจากครอบครัวมาใช้ชีวิตคนเดียว ด้วยจากซื้อคอนโดแนวรถไฟฟ้าที่มีราคาไม่สูงมากเพื่ออาศัย
ตลอดจนพฤติกรรมของพวกเขาเหล่านั้นยังไม่ชอบอยู่กับอะไรเดิมๆ นานๆ จากการถูกกระตุ้นด้วยข้อมูลใหม่ๆ ตลอดเวลา คนในยุคนี้จึงเป็นคนที่ต้องการสิ่งเร้าเสมอ และต้องการมีตัวตนในโลกออนไลน์ มุ่งหาประสบการณ์แปลกใหม่ ให้มีเรื่องเล่า เรื่องแชร์อยู่เสมอ การผูกมัดกับเรื่องเดิมๆ จึงเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ชอบ อย่างกองทุน RMF จะเป็นกองทุนที่ได้รับความนิยมกว่า LMF ถึงแม้ว่าจะหักภาษีได้เหมือนกัน แต่ระยะเวลากองทุน RMF สั้นกว่า LMF ที่ได้ผลตอบแทนระยะยาว

5. เปิดเผย ชัดเจน อย่าปิดบัง หรือ Sinclear (Sincere + Clear)

ทุกวันนี้ข้อมูลหาได้ง่าย สืบได้ง่าย อะไรจริงหรือหลอก การแสดงความจริงใจ คือสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ เพราะสังคมทุกวันนี้เป็นสังคมของความหวาดระแวง ระวังมากขึ้น เพราะกลัวถูกเปิดเผยได้ง่ายๆ เพียงคลิกแชร์เท่านั้น เพราะบริโภคยุคใหม่ชอบแสดงออกในโลกออนไลน์ เมื่อพวกเขาพอใจหรือไม่พอใจอะไร จะคอมเมนต์ออกมาดังๆ บนโลกออนไลน์ทันที
รวมถึงการเชื่อการรีวิวมากกว่าแบรนด์หรือโฆษณาที่ถูกปรุงแต่งมาแล้วเพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่แบ่งปันมาจากประสบการณ์จริง
เมื่อเป็นเช่นนี้แบรนด์จึงต้องมีความจริงใจ มุ่งเน้นที่จะใส่ใจผู้บริโภค เมื่อสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายจะต้องทำให้ได้ตามที่ได้กล่าวไว้ เช่นแบรนด์โดฟที่พิสูจน์ว่าผมแข็งแรงจากการนำผมมาทำเป็นคันชักไวโอลินเป็นต้น หรือห้องน้ำสุวรรณภูมิที่มีให้ผู้ใช้บริการกดแสดงความพอใจในการใช้บริการ จะเห็นได้ว่าเทรนด์นี้ทำให้แบรนด์หันมาทำ CSR เป็นคนดีเพื่อสังคมมากขึ้นเพื่อซื้อใจผู้บริโภคมากขึ้น

6. วัฒนธรรมเดียวกัน หรือ Blendso (Blended + Society)

จากการสื่อสารในโลกโซเชียลที่ไปได้ทุกที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถรับรู้ข่าวสารแบบเดียวกัน เท่าทันกัน ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ ค่านิยม และแฟชั่น จนเรียกได้ว่าคนทั่วโลกมีวัฒนธรรมเดียวกัน แต่การมีวัฒนธรรมเดียวกันนี้เอง ก็เป็นผลร้ายในสังคมเพราะคนรุ่นใหม่อาจไม่สานต่อวัฒนธรรม ประเพณี ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน เพราะไม่ได้เติบโตมาในสังคมที่บ่มเพาะมาด้วยวัฒนธรรม ประเพณีที่คนรุ่นก่อนยังสืบสาน พวกเขาเติบโตมากกับคำว่าวัฒนธรรมเดียวกัน จากโลกไร้พรหมแดน เช่นแคมเปญ Ice bucket Challenge ที่กลายเป็นกระแสโลกในเวลาเพียงไม่นาน เป็นต้น

7.มาตรฐานสูง หรือ Suppergenic (Super + Genic)

เมื่อแบรนด์แข่งขันสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภค ทุกวันนี้ผู้บริโภคจึงมามาตรฐานที่สูงขึ้น โดยเฉพาะความรู้สึก ความต้องการที่จะได้รับบริการดีๆ และจะได้ยินผู้บริโภคยุคใหม่พูดคำว่าพนักงานที่ให้บริการไม่มี Service mind อยู่เสมอ
การมีมาตรฐานสูงของผู้บริโภคนี้เอง เป็นสิ่งที่แบรนด์ควรระวัง ใครจะเชื่อหละว่า มีผู้บริโภคมากถึง 68% บอกลาแบรนด์ที่ใช้ประจำเนื่องจากไม่พอใจด้านบริการมากกว่าตัวผลิตภัณฑ์ และ 55% ยอมจ่ายเงินสูงขึ้น เพื่อให้มาซึ่งบริการที่ดีขึ้น

8.ซื้อน้อยแต่ได้เยอะ หรือ Easemore (Easy + More)

จากเทคโนโลยีได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคคุ้นชินกับการมีดีไวซ์เพียง 1 ชิ้นสามารถทำได้ทุกอย่าง เช่นสมาร์ทโฟนที่ใช้งานทั้งติดต่อสื่อสาร สมุดบันทึก ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ถ่ายรูป และเป็นกระเป๋าสตางค์ส่วนตัว ผู้บริโภคจึงคาดหวังว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ จะสามารถใช้งานได้มัลติฟังก์ชั่นเช่นกัน

ที่มา: http://marketeer.co.th/2014/12/8-trend/

ค่านิยมสังคมไทยในอดีตและปัจจุบัน

ค่านิยมสังคมไทยในอดีตและปัจจุบัน


        ลักษณะค่านิยมของสังคมไทยในอดีต วิถีชีวิตของสังคมไทยในอดีต ส่วนใหญ่ยึดมั่นสืบทอดตามบรรพบุรุษ พ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสุขสบาย ไม่อยากให้ใครได้รับความเดือดร้อน วิถีชีวิตเป็นแบบเรียบง่ายไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะมีระบบข้ากับเจ้า บ่าวกับนายก็ตาม ค่านิยมของสังคมไทยในอดีตมีลักษณะดังนี้

๑. ยึดมั่นในพระพุทธศาสนา คนไทยในอดีตส่วนใหญ่ยึดมั่นและปฏิบัติตามหลักธรรมในพระพุธศาสนา เพราะเมื่อทำแล้วเกิดความสบายใจ มีความสุขจากการทำบุญ ทำให้คนมีจิตดี มีความอ่อนโยน มีเมตตา กรุณา การประพฤติตามหลักธรรมคำสอนทำให้คนเป็นคนดี อีกทั้งยังเป็นการสืบทดพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวอีกด้วย

๒. เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม เป็นแนวทางให้สังคมไทยในอดีตเกิดความกลัว ละอายต่อการทำบาป เพราะเมื่อตายแล้วต้องตกนรก ทำให้เกิดการทำบุญหรือทำความดี เพื่อหนทางสู่สวรรค์นั่นเอง

๓. เชื่อในเรื่องของวิญญาณ ภูตผีปีศาจ มีความเชื่อในเรื่องอำนาจลึกลับที่มีอยู่เหนือมนุษย์ สามารถบันดาลให้เกิดสิ่งดีหรือสิ่งร้าย ด้วยเหตุนี้จึงมีพิธีกรรมเกิดขึ้นมากมายซึ่งเป็นความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ เช่น เชื่อในเรื่องเจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือน เป็นต้น

๔. ยกย่องระบบศักดินา เป็นความเชื่อที่ว่าเป็นผู้มีบารมี ความร่ำรวย บุคคลในตระกูลสูศักดิ์ คือ ผู้ที่เทพเจ้าบันดาลให้มาเกิดจึงได้รับการยกย่องและเกรงกลัว

๕. เคารพผู้อาวุโส อาจหมายถึงผู้ที่สูงด้วยอายุ ด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ มีความเชื่อว่าผู้อาวุโสมีประสบการณ์ มีความสามารถ เช่นสำนวนที่ว่า “ ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน ” การเคารพผู้อาวุโสจะทำให้มีความสุขและเจริญก้าวหน้า

ที่มา: http://www.dek-d.com/board/view/2646544/

ค่านิยมของสังคมไทย

        ค่านิยมของสังคมไทย ค่านิยมของสังคมไทยมีมากมาย และบางอย่างก็เป็นค่านิยมที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่บุคคล ผู้ถือปฏิบัติและแก่สังคม แต่บางอย่างก็อาจก่อให้เกิดผลเสียแก่สังคม เช่น ค่านิยมเกี่ยวกับความ หรูหราอยากมีหน้ามีตา การเชื่อถือโชคลาง ในที่นี้จะกล่าวถึงค่านิยมเด่นๆ ของสังคมไทยบาง ประการ ซึ่งจะเป็นค่านิยมที่ก่อให้เกิดผลดีหรือไม่ดีก็ตาม ดังนี้

๑. นิยมความร่ำรวย มั่งคั่ง ทุกคนอยากจะได้ อยากจะมีทรัพย์สินเงินทอง รถยนต์ บ้าน ที่ดิน ฯลฯ คนที่ร่ำรวยจะเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในสังคม และจะต้องการสิ่งใดย่อมได ้ตามความ ประสงค์ เงินจะซื้อสิ่งต่างๆได้ ดังนั้นทุกคนจึงต่อสู้ดิ้นรน เพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่ง



๒. นิยมอำนาจ คนไทยให้ความสำ คัญแก่ผู้มีอำนาจ และอยากจะเป็นคนที่มีอำนาจ ถ้า ตนเองไม่มีโอกาส ก็จะส่งเสริมลูกหลานของตนให้แสวงหาอำ นาจ ผู้มีอำนาจในสังคมไทยส่วนใหญ่ คือ ผู้มีตำแหน่งหน้าที่ราชการ ดังนั้น คนไทยจึงนิยมส่งเสริมบุตรหลานให้เข้ารับราชการ นอกจาก ข้าราชการแล้ว ผู้ที่อาจมีอำ นาจอื่นๆ ได้แก่ นักการเมือง ปัจจุบัน อำนาจอาจซื้อด้วยเงิน ดังจะพบ ได้จากการใช้เงินซื้อเสียง เพื่อให้ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎร การซื้อตำแหน่งต่างๆ

๓. เคารพผู้อาวุโส ผู้อาวุโสได้แก่ ผู้มีอายุมากกว่า มีคุณวุฒิสูงกว่า มีชาติสกุลสูงกว่า มี ตำ แหน่งสูงกว่า เช่น นักเรียนรุ่นพี่ พี่ป้าน้าอา พ่อแม่ ครูอาจารย์ หม่อมเจ้า การเคารพผู้มีอาวุโสได้ รับการปลูกฝังสืบต่อกันมา จนเป็นวิถีชีวิตที่ยังปฏิบัติกันอย่างกว้างขวาง ค่านิยมในการเคารพผู้ อาวุโสมีแนวโน้มลดลงในปัจจุบัน

๔. รักความสนุก กิจกรรมต่างๆที่จัดขึ้นมักจะสอดแทรกกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความสนุกสนาน ไว้ด้วย แม้แต่งานศพ ก็ยังมีกิจกรรมที่แสดงถึงการรักความสนุก เช่น มีการแสดงก่อนการเผาศพ และฉลองเมื่อเผาศพแล้ว คนไทยรักความสนุกสนาน ตั้งแต่เกิดไปจนตาย เริ่มตั้งแต่งานฉลองวัน เกิด งานฉลองวันแต่งงาน จนถึงงานศพ


๕. บริโภคนิยม คนไทยส่วนใหญ่สนใจเรื่องการบริโภคมาก ชอบเสาะแสวงหาอาหารรับ ประทาน ชอบคิดปรุงอาหารแปลกๆรับประทาน เมื่อเปิดร้านอาหาร ใครพบร้านอาหารที่มีอาหาร แปลกๆ หรือรสอร่อย ก็จะมีคนพากันไปรับประทาน แม้จะแพง หรือ ไกล เขาก็จะพยายามไปรับ ประทานอาหารที่ร้านนั้น อีกสิ่งหนึ่งที่พบคือ ไม่ว่าในงานพิธีใดๆ จะต้องมีกิจกรรมการกินเลี้ยงอยู่ เสมอ แม้แต่เมื่อทำ งานเสร็จโปรแกรมหนึ่งๆ เรียนผ่านการศึกษาไปภาคเรียนหนึ่งๆ ก็ยังมีการเลี้ยง ฉลองกัน ๖. นิยมความหรูหรา ความมีหน้ามีตา ซึ่งจะแสดงออกทางการแต่งตัวประกวดกัน การจัด งานประกวดกันว่า ใครจะจัดงานได้ใหญ่กว่า การทำ บุญ ว่าใครจะทำ บุญมากกว่ากัน การมีเครื่องใช้ ที่ทันสมัย ราคาแพงไม่น้อยหน้ากัน ๗. นิยมเครื่องรางของขลัง และเชื่อโชคลาง การจะกระทำ กิจกรรมใดๆ มักต้องอาศัยลาง ต่างๆที่อาจเกิดขึ้น หรือถ้าประสบภัย ก็มักจะมีการสะเดาะเคราะห์ และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ ๘. นิยมการทำ บุญสร้างวัด ปิดทอง ฝังลูกนิมิต โดยเชื่อว่าจะได้บุญมากในชาติหน้า คนไทย ส่วนใหญ่ต่างก็พยายามเข้าร่วมในกิจกรรมการทำ บุญ แม้จะด้วยความยากลำ บากก็ยอม อย่างไร ก็ตาม ค่านิยมนี้มีแนวโน้มลดลง เพราะสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนไป คนมากขึ้น ทรัพยากรลดลง

ที่มา: ตัดตอนจาก “พื้นฐานวัฒนธรรมไทย” โดย ณรงค์ เส็งประชา หน้า ๔๓ – ๔๔

วัยรุ่นสมัยใหม่ ... ค่านิยมที่ผิดๆ และสังคมไทยที่แย่ลง ...

หากมองถึงสังคมไทยปัจจุบัน
มีปัญหามากมายที่เกิดขึ้น
ถ้ามองลึกๆลงไป
จะพบว่ามันมีอยู่ปัญหาหนึ่ง
ที่เกิดขึ้นมานาน
แต่ก็ไม่เห็นมีใครจะมาแก้ปัญหานี้จริงๆจังๆสักที
นั่นก็คือ ปัญหาของวัยรุ่น ...

--------------------------------

ถ้ามองโดยรวมถึงวัยรุ่นสมัยนี้
หลายคนคงมองว่ามันดูไม่ค่อยดีเท่าใดนัก
มีค่านิยมที่ผิดๆ
อาจจะใช่
แต่ไม่ทั้งหมด
วัยรุ่นบางส่วนที่ดี ซึ่งผมจะไม่ขอกล่าวพาดพิง
หากแต่ก็มีบางส่วนที่ทำตัวเฉกเช่นที่หลายคนดูแคลน
ยังคงยึดติดกับค่านิยมหลายๆค่าที่ผิดๆ
ถ้ามันเป็นเรื่องเล็กๆก็คงไม่เท่าไร
หากแต่มันไม่แค่นั้นน่ะสิ
ค่านิยมหลายๆอย่างถูกเข้ามาแทนที่ความถูกต้องและเหตุผล
เสื้อนักศึกษารัดๆที่กระดุมแทบจะหลุด รวมถึงกระโปรงสั้นๆที่เวลานั่งทีจะเห็นไปถึงไหนต่อไหน
ถามหน่อยเถอะ
ปัญหาข่มขืนที่มันอยู่ไม่เว้นแต่ละวันเนี่ย
มันเกิดจากอะไร
ใช่ ...
ส่วนใหญ่เกิดจากผู้ชายชั่วๆ ชิงสุนัขเกิดบางคนที่มันระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
หากแต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง
มันก็มีอีกส่วนที่เกิดจากตัวของผู้หญิงเอง
ที่ใส่เสื้อรัดๆ กระโปรงสั้นๆแบบนั้น
รวมไปถึงพวกหนังสือปลุกใจ 
รูปภาพ และคลิปวีดีโอที่ให้โหลดกันเกลื่อนเน็ต
ดาราที่ชอบถ่ายรูปหวิวลงปกนิตยสาร
หากแต่หารู้ไม่ว่าบางครั้ง
ภาพของตัวเองกลับมาทำร้ายผู้หญิงด้วยกัน

---------------------------------------------

ปัญหาที่สองก็คือ
แฟน กิ๊ก ...
อยากจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้มันกลายเป็นแฟชั่นไปแล้วเหรอครับ
ที่ว่ามีแฟนแล้วต้องมีกิ๊กเพิ่มขึ้นมาอีกคน
คุณจะรักใครแล้วรักแค่คนเดียวไม่ได้เหรอ
ถ้าคุณคิดอย่างนั้น
ก็แสดงว่าคุณยังไม่พร้อมที่จะรักใคร
ไม่พร้อมที่จะทุ่มใจให้ใครเพียงแค่คนเดียว
อาจจะเพราะความเหงา 
ความรู้สึกชอบแค่ชั่ววูบวาบ
หรือถ้าเป็นผู้ชายก็อาจจะลุกลามไปถึงเรื่องบนเตียงด้วย
บางคนอาจจะมองเรื่องแฟน เรื่องกิ๊กอะไรนี่เป็นเรื่องเล็ก
หากแต่มันก็เป็นปัญหาที่ใหญ่ไม่แพ้ปัญหาไหนๆ
ที่ยิงกัน ชกต่อยกัน หรือแม้กระทั่งฆ่าตัวตายเนี่ย
มันก็ไม่ใช่เพราะแบบนี้เหรอ ผมไม่เถียงถ้าคุณจะบอกว่า
มันจะสักกี่คู่กันเชียวที่ต้องมายิงกัน หรือฆ่าตัวตายแบบที่ผมว่า

ใช่ ...
มันไม่กี่คู่หรอก
แต่ผมอยากจะให้มองถึงภาพโดยรวม
การจะคบกับใครทีละสองคน
มันก็คงไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนักของฝ่ายใดก็แล้วแต่
นอกเสียจากคุณอยากจะให้แฟนคุณไปมีคนอื่น 

-----------------------------------

ปัญหาที่สาม
วัตถุนิยม
ผมถามหน่อยครับว่า
พี่ๆน้องๆ และเพื่อนๆที่กำลังอ่าน
ใครไม่มีมือถือบ้างครับ
ผมเชื่อว่าหลายคนคงมี
และหลายคนคงไม่มี
อาจจะประมาณแปดคนในสิบคนที่มีมือถือ
แล้วถ้าผมถามต่อ
มือถือของใครมีกล้องบ้างครับ
มันอาจจะลดลงเหลือสี่หรือสามคน
เดี๋ยวนี้เทคโนโลยี้พัฒนาไปเร็ว
คนเราก็ชอบตามมันเสียเหลือเกิน
ใครมีมือถือมีกล้อง
มี Options เยอะๆ
ถือว่าเท่ห์ ถือว่าเป็นคนอินเทรนด์
ผมถามหน่อยเถอะครับว่า
ตั้งแต่คุณซื้อมือถือมา
ใครเคยใช้ทุก Options ของมือถือของคุณได้ครบบ้าง
อาจจะน้อย สองหรือหนึ่งคนในสิบคน
หรือไม่มีเลย
ผมคนหนึ่ง
ความจริงมือถือของผมก็ไม่ได้ใหม่มากมาย (ซื้อประมาณเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว)
Options มันก็ไม่มาก
แต่ผมก็ไม่เคยใช้มันครบสักที
แล้วหลายๆคนต้องการจะมีมือถือที่ Options เยอะๆไปทำไมล่ะ
บางครั้งมีไปก็ใช่ว่าจะดี
เดี๋ยวนู่นพัง เดี๋ยวนี่พัง
ปัญหาที่ตามมาอีกก็คือ
ปัญหาโจรกรรม
บางครั้งมันอาจจะไม่ใช่แค่โจรกรรมอย่างเดียว
ถ้าในกรณีที่เหยื่อนั้นเป็นผู้หญิง
มันอาจจะรวมไปถึง การโจรกรรม ข่มขืน 
และจบที่ฆาตกรรม
คงจะรู้สินะครับ
ว่าบางทีมือถือ
มันก็อาจจะไม่ได้ฆ่าเราด้วยมะเร็งในสมองวิธีเดียว ...

------------------------------------------------

ยังมีอีกหลายปัญหาที่ผมคิดว่าทุกคนคงจะรู้จากสื่อต่างๆดี
ที่ผมเขียนมาทั้งหมด
ก็เพื่ออยากให้ทุกฝ่ายร่วมกันป้องกันปัญหา
ไม่ใช่แก้ไขปัญหา
เพราะผมคิดว่า
ปัญหานี้
ถือเป็นปัญหาใหญ่
ที่หลายๆคนมองข้าม
และบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติ ...

--------------------------------


ที่มา: http://www.dek-d.com/board/view/597716/